สวัสดีอีกครั้งจ๊ะ พอดีได้รับอีเมล์จากไอ้น้องชายพรึนเรื่องแขกและนิโกร บอกว่าหลายๆคนอยากรู้ พี่ก็จะมาเล่าให้ฟังและอาจจะมีอะไรอีกนิดหน่อยตามแต่เวลาที่จะเขียนได้(เนื่องจากตอนนี้หิวมาก)
เอาเรื่องเก็บเงินก่อนแล้วกันนะ พอดีว่าพี่อ่านเจอของเจ้าพรึนก็เลยอยากเพิ่มนิดนึงว่าจริงๆแล้วกระเป๋าคาดเอวใช่ว่าจะปลอดภัยเสมอไป
นี่เป็นประสบการณ์หนึ่งจากผู้ใหญ่ที่พี่รู้จักท่านใช้กระเป๋าคาดเอวเพราะคิดว่าคงปลอดภัยที่สุดแล้ว
แต่จริงๆไม่ใช่ เงินและเอกสารสำคัญหายหมดเลย ฉะนั้นผู้ใหญ่คนนั้นเลยเตือนพี่มาก่อนการเดินทาง
ไปต่างประเทศครั้งแรกว่าให้พี่ใช้กระเป๋าห้อยคอเล็กพอที่จะเก็บพาสปอร์ตและเงินได้ห้อยคอไว้ในเืสื้อ
รับรองไม่หายแต่!!!อย่าหลับเพลินนะ เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ถ้าเราหลับเพลิน อีกหนึ่งเรื่องคือคนที่นั่ง
ข้างๆเรา ก่อนอื่นเราควรจะสังเกตเขาด้วยว่าเขาเป็นอย่างไรเพราะเขาเป็นคนที่ใกล้เราที่สุดเราต้อง
ระวังให้มากที่สุด แต่ไม่ถึงกับต้องระวังจะไม่หลับไม่นอนนะ(อันนั้นก็เกินไป เหนื่อยตายเลย)
เรื่องของจำนวนเงินที่เอามานะ ตัวพีเองพี่จะคำนวณถึงการกินอยู่และเผื่อไว้ทุกอย่างและพี่เปิดบัญชี
แล้วทำบัตรวีซ่าอิเลกตรอนที่สามารถกดใช้ได้ในต่างประเทศ(อย่าทำบัตรหายแล้วกัน) จำนวนเงินที่พี่
พกติดตัวตอนเอาขึ้นเครื่อง(ไม่อยากบอกเลย อาย 555) พี่มี่ห้าร้อยยูโรเท่านั้นเองเพราะี่พี่รู้ว่าพอมาถึง
ต้องจ่ายค่าห้องและค่ารถใต้ดินภายในเวียนนา ส่วนเรื่องการกินพี่ไม่ต้องจ่ายเพราะว่าอย่างที่บอกไปแล้วพี่เตรียมอาหารมาพอที่จะให้มันอยู่รอดได้หนึ่งเดือนแรก
เพราะว่าก่อนทีพี่จะเดินทางมาที่นี่พี่อีเมล์มาถามที่บริษัทเลยว่าพี่จะได้เงินเดือนเดือนแรกเลยหรือไม่ แล้วถ้าพี่จำไม่ผิดนะพี่ถามบริษัทด้วยว่าค่าใช้จ่ายที่นี่ประมาณเท่าไหร่เราควรเตรียมเงินมาเท่าไหร่(เลขาบริษัทที่พี่มา
ทำงานเขาก็ดีนะตอบซะหมดทุกคำถามเลย) เอาต่อนอกเรื่องไปนิด
ห้าร้อยยูโรพี่ก็เก็บห้าสิบห้าสิบนะ ในกระเป๋าห้อยคอครึ่งนึงที่อื่นที่ใกล้ตัวเราที่สุดอีกครึี่งนึง เท่านั้นแหละ อีกอย่างหนึี่งอันนี้เป็นคำสอนมาจากอาจารย์พี่บอกว่าพอเรามาถึงให้เราทำตัวอย่าเหมือนนักท่องเที่ยว(มันใช้ได้ผลนะ)
เพราะมิจฉาชีพจะมองนักท่องเที่ยวซะส่วนใหญ่ถ้าเราทำตัวกลึนไ่ม่เหวอไม่เอ๋อเขาก็จะไม่รู้ว่าเราไม่รู้เรื่อง(ทำตัวเนียนอะนะ)
พี่ชายพี่ไม่ห่วงหรอก จะห่วงแต่ผุ้หญิงน่ะ (อยากย้ำว่าห่วงแต่ผู้หญิงจริงๆนะ)
เอาละมาถึงเรื่องแขกและนิโกร อันนี้จะเล่าจากประสบการณ์ของเพื่อนๆและของตัวพี่เอง
แต่เรื่องมันไม่ได้ใหญ่โตอะไรนะเพราะยังถึือว่าพี่และเพื่อนยังโชคดีแต่ถ้าเราไม่ระมัดระวังตัวก็อาจจะซวยได้
เพื่อนพี่เขาก็เพื่อนเป็นอาหรับ(แขกประเภทหนึ่ง) อินเดีย(ก็แขกอีกประเภทหนึ่ง) เพื่อนพี่เป็นผู้หญิงมีเพือนที่อยู่ในหอเดียวกันเป็นอาหรับประมาณสองคนได้มั้งจำไม่ค่อยได้นะ
แล้วก็ตามประสาเพื่อนพีชอบผูกมิตร(ตามประสาคนไทย) มีวันหนึ่งเขาก็นั่งล้อมวงดื่มแอลกอฮอล์
(ชนิดไหนจำไม่ได้แล้วนะ) มันก็เอากะเขาด้วยจนกระทั่งได้ที่อาหรับทั้งหลายก็เริ่ม(หน้าหม้อ)และเหตุการณ์ก็เป็นไปเรื่อย
จนกระทั่งเพื่อนพี่มันรู้ว่ามันไม่ไหวแล้วมันก็จะกลับห้องนอนไอ้คุณอาหรับท่านก็ตามมาประมาณว่าหวังดี
อยากมาส่งแล้วก็ตามประสาผู้ชาย(มีเหล้าในเลือดเรียบร้อยแล้ว) ก็เริ่มที่จะลวนลามแต่ว่าเพือนพี่มันยังประคองตัวได้อยู่(จึงรอดมาได้) เรื่องนี้พี่อยากจะบอกว่า
ถ้าเพื่อนพี่ไม่ดื่มก็คงไม่มีเรื่องแต่พี่ก็เข้าใจว่าทำไมฉะนั้นพี่อยากเตือนน้องๆที่อยากผูกมิตร
(โดยเฉพาะผุ้หญิงนะจ๊ะ) ถ้าตัวน้องเองคอไม่แข็งอย่าผูกมิตรด้วยแอลกอฮอล์เลยนะ ถึงแม้ว่าจะไม่มีแอลกอฮอล์ก็ตามก็ยังอันตรายอยู่ดี เหมือนที่พี่จะเล่าต่อไปนี้เพือนพี่เป็นผู้หญิงเหมือนกันไปเที่ยวกับเพื่อนๆในประเทศแถบยุโรปเนี้ยแหละแต่ว่า
แขกมันเยอะ ตามประสาสาวแขกเขาจะไม่เปิดเนื้อหนังให้ใครเห็นเลย(พี่ว่าเราน่าจะนึกออกนะ) ฉะนั้นกลุ่มสาวๆเพื่อนพี่ไปที่นั่นจึงกลายเป็นเป้าสายตา(ที่มันอยากจะลวนลามตลอด) เพื่อนๆพี่ไม่ได้แต่งสายเดี่ยวเสียวหลุดเหมือนสยามบ้านเรานะแต่เป็นกางเกงยีนส์อีแตะเสื้อยึดน่ะ(เป็นไงเซ็กซี่มะ)
ท่านแขกทั้งหลายก็ยังมองด้วยสายตาที่อยากจะกินเพื่อนๆพี่เข้าไปทั้งตัว มาถึงตอนนี้คงรู้แล้วนะว่าพี่เตือนเรื่องอะไร สรุปทริปการเที่ยวของเพื่อนพี่จึงต้องใส่เสื้อคลุมเหมือนสาวแขกละจ้า
มาถึงนิโกร ที่เวียนนานิโกรเยอะมากๆๆๆๆๆ(เยอะจริงๆนะ) บางคนก็ดูรวยบางคนก็ไม่(แต่ยังไงก็ยังน่ากลัวในความรู้สึกพี่) จนกระทั่งวันหนึี่งไม่กี่อาทิตย์่ที่ผ่านมา พี่ก็เดินทางด้วยรถไฟเหมือนปกติทุกวันเพื่อไปทำงานแต่เนื่องจากว่าวันนั้นมันเป็นวันหลังจากวันหยุด
คนเลยลาหยุดยาวกัน คนที่เคยมานั่งรถไฟทุกวันจึงไม่ได้มารถไฟจึงว่างมากๆ พี่ก็ไปนั่งที่เดิมของพี่ตามปรกติ การแต่งตัวของพี่ไม่ได้บ่งบอกเลยว่าเป็นนักท่องเที่ยวไม่ได้ให้เห็นเนื้อหนังอะไรด้วยซ้ำไป
แต่แล้วมันก็มีนิโกรเดินผ่านที่นั่งพี่ไปพี่ก็เห็นอยู่หรอกนะ (ปกติพี่ไม่คุยกับใครทั้งนั้นบนรถไฟ)
เสร็จแล้วมันเดินย้อนกลับมานั่งที่นั่งถัดจากพี่ไปที่นั่งหนึี่ง ตอนนั้นพี่ฟังmp3อยู่เลยไม่ได้ยินมันเรียก(มาถึงตอนนี้ยังคิดอยู่เลยว่าไม่ควรได้ยินมันเรียกเอาซะเลย) แ่ต่เวลานั้นไอ้เราก็ดันหูดีได้ยินมันเรียกตอนแรกก็พยายามฟังว่ามันพูดภาษาอะไรอังกฤษหรือเยอรมันแล้วก็พยายามฟัง
ว่ามันต้องการอะไร จับใจความได้ว่ามันต้องการปากกาของพี่ซึ่งตอนนั้นพี่มีแต่หนังสืออยู่ในมือไม่มีปากกาสักแท่งพี่ก็ตอบมันไปว่าไม่ีมีแล้วพี่ก็กลับ
ไปอ่านหนังสือต่อ มันยังเรียกพี่อีก ไอ้เราก็เอ๊ะมันยังไงวะบอกว่าไม่มีก็ถามมันว่าอะไรอีกมันก็มาถามเราว่าเราชื่ออะไร(เออ เนี้ยแหละคือจุดเรีิ่มต้นทีพี่เซ็งมากๆๆ คนที่ไหนมันจะมาถามชื่อวะเพิ่งรู้จักสองวินาที แถมเราก็แสดงออกซะชัดเจนว่าไม่อยากคุยจะอ่านหนังสือ) พี่ก็ไม่ตอบว่าพี่ชื่ออะไรมันก็ยังไม่หยุดถามถามว่าพี่มาจากไหนอยู่ที่ไหนและอีกมากมายตอนนั้นในรถไฟมีแค่พี่และมันและฝรั่งหัวแดงอีกสอง
(พี่อยากจะเตือนอีกอย่างว่าถึงแม้ว่าจะมีฝรั่งอยู่แต่มันไม่ช่วยอะไรเราหรอกนะอย่าคิดว่าจะมีพลเมืองดี)
พี่คิดว่าตอนนั้นพี่ซวยแล้วมั้ยละตูเพิ่งกดเงินมาด้วยเพราะต้องจ่ายค่าห้อง พอหลังจากรถไฟผ่านไปสองสามสถานีมันก็เริ่มละ ถามว่าในกระเป๋ามีอะไร(โหพี่มือชาหน้าชาไปหมดเริ่มทำอะไรไม่ถูกแล้ว) แต่ยังโชคดีนายสถานีเดินมาแต่ก่อนทีนายสถานีเดินมาัมันพูดกับพี่ว่ามันต้องการกระเป๋าพี่(ซวยของแท้)แล้วนายสถานีเดินมา
มันเลยรีบลงตรงสถานีนั้นเลย(รอดไป) นี่คือเรื่องจริงๆนะ ฟังแล้วอาจจะตลกแต่ว่าระวังไว้หน่อยนะ
ถ้าเป็นผู้ชาย(ถ้าในระดับร้ายแรง)ก็คือเจ็บตัว ถ้าเป็นผู้หญิงก็นะ (ไม่ต้องพูดก็คงรู้ใช่ปะ)
ย้ำอีกรอบนะว่าฝรั่งไม่ใช่ทุกคนทีจะใจดำแต่!!!ส่วนใหญ่ใจดำนะ ถ้าเกิดเขาเห็นเราเกิดเรื่องชกต่อยหรือว่าอะไรก็ตามเขาจะไม่เข้ามายุ่งหรือมาช่วยเด็ดขาดจะมีแค่
บางคนเท่านั้นจริงๆนะ อันนี้เกิดขึ้นกับเพื่อนร่วมงานพี่เขาขึ้นรถไฟใต้ดินแล้วมีคนเมา(ฝรั่งของแท้)ขึ้นมาบนรถแล้วมายุ่งวุ่นวาย
กับเพื่อนพีแล้วเขาเป็นผู้ชายก็ตามประสาคือหนักสุดก็ต่อยแต่เนื่องจากว่าเขาไม่ใช่ฝรั่งเขาจึงไม่ทำ
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือจากที่คนแน่นเอียดบนรถไฟ พวกท่านทั้งหลายก็เว้นช่องว่างให้เพื่อนพี่กับฝรั้่งขี้เมาคนนั้นเลย ไม่มีใครห้ามฝรั่งขี้เมาคนนั้นและ
ก็ไม่มีใครยุ่งด้วย
เตือนเยอะไปหน่อยหรือเปล่าไม่รู้นะแต่ว่าบางทีเรื่องแบบนี้อาจจะไม่เกิดกับใครก็ได้แต่ระวังไว้หน่อยก็แล้วกัน
ขอเพิ่มเติมเรื่องเงิน
พอเรามาถึงที่ประเทศนั้นๆให้ไปเิปิดบัญชีธนาคารทันทีแล้วเก็บเงินที่เรามีใส่ธนาคารไว้ปลอดภัยกว่า
เก็บไว้กับตัว ตอนเปิดไม่ต้องเสียเงินเลย(ออสเตรียนะ คงเยอรมณีด้วยมั้ง)
ย้ำว่าอย่าเก็บเงินไว้ที่ห้องพักนะ อย่าเด็ดขาด
ไปละจ๊ะ มีอะไรถามพี่ได้นะ อย่างที่บอกมันนึกไม่ออกถ้าเล่าอย่างเดียว
บายบาย
เพิ่มเติม
1. ถ้าน้องคนไหนอยู่ประเทศนั้นเพียงแค่สองสามเดือนหรือไม่ถึงครึ่งปีต้องพกพาสปอร์ตตลอด แต่ถ้าใครอยู่เกินครึีงปีจนกระทั่งปี(อันนี้พี่รู้แต่ที่ออสเตรียนะที่อื่นอาจจะเหมือนอันนี้ต้องถามสถานทูต) ถ้าทีออสเตรียเขาจะทำเหมือนบัตรประชาชนให้เลยแล้วเราก็ไม่ต้องพกพาสปอร์ตตลอดเวลาแค่มีบัตรนี้ก็จบ
ก๊อปปี้พาสปอร์ตกับวีซ่าเก็บไว้หลายๆชุดนะ เซฟใส่อีเมล์ตัวเองด้วยเผื่อว่าเวลามีปัญหาจะได้เอาแบบออนไลน์ได้
ควรจะต้องรู้เบอร์โทรศัพท์ติดต่อสถานทูตไทยในประเทศนั้นๆด้วยนะเวลามีอะไรก็แล่นไปที่นั่นแหละ
2. วีซ่าอิเลกตรอนเวลากดจะเสียค่าธรรมเนียม 100 บาท (สำหรับกสิกรไทย) ธนาคารอื่นไม่แน่ใจต้องถามเขานะ แล้วมันก็เปลี่ยนค่าเงินอัตโนมัติตามอัตราแลกเปลี่ยนของธนาคารนั้นๆไม่ใช่ในอัตราแลกเงินใต้ดินนะจ๊ะ
3. การเปิดบัญชีต่างประเทศไม่ยากเลย เราต้องมีบัตรนักศึกษายืนยันการเป็นนักศึกษาแล้วก็พาสปอร์ตแล้วก็เอกสารการลงทะเบียนการอยู่ที่ประเทศนั้นๆเท่านั้นเราก็ได้บัญชี
และเอทีเอ็มของเราแล้ว ถ้าสำหรับออสเตรีย(อาจจะสำหรับเยอรมณีด้วย) เอทีเอ็มนี้จะใช้เป็นบัตรวีซ่ารูดเวลาซื้อของได้เวลากินก็ได้ขึ้นอยู่กับวงเงินของเรา
เวลาปิดบัญชีก็ไม่ยากมีทริกนิดหน่อยก็คือก่อนกลับบ้านไปกดเงินออกมาเหลือเอาไว้ในนั้นสักเจ็ดแปดยูโร จบ แต่ถ้าอยากทำให้ถูกต้องตามหลักก็เดินไปบอกเขาว่าจะปิดบัญชีเขาก็จะคิดค่าธรรมเนียมเรานิดหน่อย(แล้วแต่ความซวย .....พี่พูดเล่นนะ) แล้วแต่ธนาคารน่ะ
4. น้ำประปาที่นี่ดื่มได้นะ แต่ถ้าใครอยากมั่นใจว่าสะอาดจริงก็ซื้อได้มีให้เลือกระหว่างมีแก๊ซ (charge with carbondioxide gas [english] mit Kohlensäure [german]) กับไม่มีแก๊ซ (ohne Kohlensäure [german])
ราคาของที่นี่ถ้าเป็นของที่เขามีก็จะไม่แพงแต่ถ้าเป็นของเอามาจากแถบบ้านเราก็ค่อนข้างแพงได้ที่
พี่ซื้อน้ำปลาที่นี่ในราคา 2.60 ยูโรขวดใหญ่นะ ถ้าซื้อบ้านเราก็แค่ขวดละ 35 บาทเองมั้งอันนี้แล้วแต่น้องๆว่าใครอยากทำอาหารกินเองเพราะว่าทำกินเองก็จะกินเผ็ดได้สมใจอยาก(ถ้าใครกินเผ็ดนะ)
เพราะว่าถ้าไปกินอาหารที่เขาบอกว่าเผ็ดนักเิผ็ดหนาของท่านๆยุโรเปียนไม่มีทางทีคนไทยอย่างเราจะรู้สึก
พีเองยังต้องพี่งพริกป่นบ้านเราทุกมื้อเลยเพราะว่ามันไม่มีรสชาิดเผ็ิดเลย (ยิ่งสลัดยิ่งทำให้นึกถึงส้มตำ) อืมๆๆๆ และแล้วพี่ก็หิว
ไปละนะ ไปหาอะไรกินละหิว
ถามได้อีกนะถ้าพี่ตอบได้นะจะพยายามเข้ามาตอบ